พาณิชย์ ยันคำสั่งซื้อมะยงชิด ปราจีนบุรีกลับมาขายปกติแล้ว

พาณิชย์ ยันคำสั่งซื้อมะยงชิด ปราจีนบุรีกลับมาขายปกติแล้ว

กรมการค้าภายใน เกาะติดสถานการณ์การรับซื้อมะยงชิด ยันไม่มีปัญหา ชาวสวนยันคำสั่งซื้อกลับมาแล้ว ไม่ได้ถูกยกเลิกตามที่เป็นข่าว

วันที่ 23 มีนาคม 2566 นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงกรณีที่ชาวสวนมะยงชิดจังหวัดปราจีนบุรีประสบปัญหาถูกยกเลิกคำสั่งซื้อ จากกรณีซีเซียม-137 ว่า กระทรวงพาณิชย์ได้สอบถามข้อเท็จจริงจากชาวสวนรายดังกล่าวแล้ว พบว่าปัจจุบันคงมีผลผลิตเหลืออีก 50 กก. ลูกค้าที่เคยยกเลิกคำสั่งซื้อได้กลับมาสั่งซื้อเป็นปกติเช่นเดิมแล้ว

พาณิชย์

สำหรับสินค้ามะยงชิดในภาพรวมปีนี้ถือว่ามีปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดมาก เนื่องจากสภาวะอากาศที่เอื้ออำนวย โดยแหล่งผลิตใหญ่ ได้แก่ สุโขทัย นครนายก พิษณุโลก พิจิตร ซึ่งปัจจุบันผลผลิตออกกว่า 90% และคาดว่าจะออกสู่ตลาดทั้งหมดภายในสิ้นเดือนมีนาคมนี้

“กรมขอเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนช่วยกันบริโภคมะยงชิด เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร และในส่วนกระทรวงพาณิชย์ได้นำผู้รวบรวมเข้าไปรับซื้อมะยงชิดจากเกษตรกรภาคเหนือ และจำหน่ายผ่านรถ Mobile พาณิชย์ 100 จุดในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมทั้งร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป”

อ่านข่าวเศรษฐกิจที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่นี่ : น้ำมัน WTI ปิดบวก 96 เซนต์ ดอลล์อ่อนหนุนแรงซื้อ

น้ำมัน WTI ปิดบวก 96 เซนต์ ดอลล์อ่อนหนุนแรงซื้อ

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นในวันศุกร์ (10 มี.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์

รวมถึงจากการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจมีการขยายตัว และจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น

  • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 96 เซนต์ หรือ 1.27% ปิดที่ 76.68 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ร่วงลง 3.8% ในรอบสัปดาห์นี้
  • สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 1.19 ดอลลาร์ หรือ 1.46% ปิดที่ 82.78 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ลดลงเกือบ 3.6% ในรอบสัปดาห์นี้

    นักลงทุนได้พากันเข้าซื้อสัญญาน้ำมันหลังจากที่ราคาร่วงลงในช่วงที่ผ่านมา

    การอ่อนค่าของดอลลาร์ช่วยหนุนแรงซื้อสัญญาน้ำมันด้วย โดยการอ่อนค่าของดอลลาร์ทำให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาถูกลงและน่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ

    เศรษฐกิจ น้ำมัน WTI

    ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.68% สู่ระดับ 104.5913

    นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นขานรับแนวโน้มเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและอุปสงค์พลังงานที่เพิ่มขึ้น หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 311,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 225,000 ตำแหน่ง แต่ชะลอตัวจากระดับ 504,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. ขณะที่อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.6% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.4%

ข่าวเศรษฐกิจเพิ่มเติม>>>>เศรษฐกิจ ปี 2566 จะเป็นปีที่ยากลำบาก เมื่อมหาอำนาจล้วนอ่อนแอ

เศรษฐกิจ ปี 2566 จะเป็นปีที่ยากลำบาก เมื่อมหาอำนาจล้วนอ่อนแอ

ไอเอ็มเอฟ เตือน ปี 2566 จะเป็นปีที่ยากลำบาก เศรษฐกิจ สหรัฐฯ ยุโรป และจีน ล้วนประสบกับสภาวะที่อ่อนแอ

เปิดศักราชมาไม่ทันไร ก็ได้รับเสียงเตือนดังๆ จาก นางคริสตาลินา จอร์เจียวา ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ถึงสภาพเศรษฐกิจปี 2566 ว่า จะรุนแรงกว่าปีก่อนหน้าและ 1 ใน 3 ประเทศของเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย

โดยเธอ ระบุว่า 3 ประเทศหลักของโลก สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และจีน ต่างก็อยู่ในสภาวะที่เศรษฐกิจอ่อนแอ จึงคาดว่า 1 ใน 3 ของ ของเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในภาวะถดถอย ซึ่งกระทบผู้คนหลายร้อยล้านคน

เศรษฐกิจ

หากย้อนกลับไปเมื่อเดือน ต.ค. 2565 ไอเอ็มเอฟปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ ซึ่งเป็นผลพวงมาจากความตึกเครียดอย่างต่อเนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน แรงกดดันเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยสูง ทำให้ธนาคารกลาง เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ ใช้มาตรการขึ้นดอกเบี้ยมากดดันเงินเฟ้อ

พร้อมทั้ง ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจเอเชียในปี 2565 และ 2566 ลงสู่ระดับ 4.0% และ 4.3% ตามลำดับ จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 4.9% และ 5.1% ตามลำดับ

โดย จีน แม้ว่าจะมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก แต่ก็มีแนวโน้มที่จะขยายตัวในระดับต่ำ ปี 2564 เศรษฐกิจจีนขยายตัวที่ระดับต่ำกว่าเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี

ส่วนในปี 2566 เราคาดว่ายอดการติดเชื้อโควิด-19 ในจีนจะพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีน และฉุดรั้งเศรษฐกิจทั้งในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก

ติดตามข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นี่ : รถเมล์ ‘อีวี’ ประชาชนได้อะไร สิ้นปีนี้บริการครบ 1,250 คัน

รถเมล์ ‘อีวี’ ประชาชนได้อะไร สิ้นปีนี้บริการครบ 1,250 คัน

กระทรวงคมนาคมลุยเปลี่ยนรถโดยสารประจำทางเป็นระบบไฟฟ้า ให้บริการครบ 1,250 คัน ใน 122 เส้นทางภายในปีนี้

พร้อมกางแผนเพิ่มจำนวนอย่างต่อเนื่องครบ 3,200 คัน หนุนเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 184,000 ตันคาร์บอนได้ออกไซด์ต่อปี

กระทรวงคมนาคมเร่งผลักดันนโยบายเพิ่มประสิทธิภาพรถโดยสารประจำทางให้ประชาชน ผ่านการจัดหารถโดยสารพลังงานสะอาด ประเภทพลังงานไฟฟ้า (EV) มีเป้าหมายให้บริการภายในปีนี้ทั้งสิ้น 1,250 คัน ใน 122 เส้นทางที่ปฏิรูปใหม่ และยังมีแผนขยายการให้บริการ กับเส้นทางการเดินรถโดยสารในกรุงเทพฯ ทั้งหมด 237 เส้นทาง โดยปัจจุบันได้นำร่องให้บริการแล้ว อาทิ สาย 8 แฮปปี้แลนด์ – ท่าเรือสะพานพุทธ, สาย 17 พระประแดง – อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และสาย 82 ท่าน้ำพระประแดง – บางลำพู

สำหรับการให้บริการรถโดยสารประจำทางไฟฟ้า ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเดินทางที่เพิ่มประสิทธิภาพบริการประชาชน โดยประโยชน์ว่าด้วยเรื่องสมรรถนะของรถโดยสาร NEX-MINEBUS รุ่น CITY BUS และรุ่น XML6115JEV มีขนาด 31 ที่นั่ง ใช้แบตเตอรี่ขนาด 24 V 2x100Ah มาพร้อมระบบเครื่องเสียงและกล้อง CCTV พร้อมด้วยระบบความปลอดภัย ทั้งการป้องกันล้อล็อก, ถังดับเพลิง, เข็มขัดนิรภัย, ค้อนนิรภัย, ทางออกฉุกเฉินบนหลังคา, ระบบดับเพลิงอัตโนมัติ และระบบดับเพลิงอัตโนมัติในห้องอุปกรณ์

ข่าวเศรษฐกิจไทยวันนี้

อีกทั้งยังขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 260 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 3,000 นิวตันเมตร มาตรฐานกันน้ำและฝุ่น IP67 ความจุพลังงานแบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงสูง 151.07 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง หรือ 302.14 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง พอร์ตชาร์ตแบบ 1 พอร์ต ตามมาตรฐานยุโรป

นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดประโยชน์จากความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนอย่าง บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด เอกชนผู้รับจ้างเดินรถ เนื่องจากจะมีการจัดทำโปรโมชั่นใช้บริการรถโดยสารใหม่นี้ ประกอบด้วย

  • จัดเก็บค่าโดยสารที่ราคา 10 บาท ตลอดสายจนถึงสิ้นปี 2565 สำหรับประชาชนผู้เดินทางซึ่งเป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
  • จัดทำตั๋วประเภทพิเศษ โดยหากประชาชนเดินทางครบ 40 บาท ในหนึ่งวันแล้ว จะไม่มีการเก็บค่าโดยสารเพิ่ม

ทั้งนี้ ประโยชน์ที่อดกล่าวถึงไม่ได้สำหรับรถโดยสารประจำทางไฟฟ้า คือผลจากการพัฒนาให้ใช้พลังงานแบตเตอรี่สู่มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน ทำให้ไม่มีการปล่อยไอเสียหรือก๊าซเรือนกระจก ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงถูกกว่าน้ำมัน เมื่อไม่มีเครื่องยนต์จึงบำรุงรักษาง่าย และการทำงานของระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเงียบกว่าเครื่องยนต์ดีเซล ลดมลภาวะทางเสียง

โดยท้ายที่การปรับเปลี่ยนรถโดยสารประจำทางไฟฟ้านี้ เป็นส่วนหนึ่งในนโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามเป้าหมายหากกระทรวงคมนาคมเปลี่ยนเป็นรถโดยสารประจำทางไฟฟ้าครบ 3,200 คัน จะทำให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 184,000 ตันคาร์บอนได้ออกไซด์ต่อปี